Translate

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทางเดินของผู้รู้



 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ทางเดินด้วยความไม่รู้  ก็ต่างกันกับทางเดินของผู้รู้ผู้เข้าใจสภาพธรรม  เพราะฉะนั้นผู้ไม่รู้ก็จมอยู่ในความมืด ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง  หรือมีสุขมีทุกข์ประการใด  แล้วก็ไม่สามารถที่จะเห็นทางที่นำไปสู่ความปลอดภัย คือทางที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง  ขณะนี้ผู้ไม่รู้ก็คือผู้ไม่ฟังพระธรรม  ผู้ที่ฟังพระธรรมเริ่มเข้าใจพระธรรม ก็เป็นผู้ที่รู้พระธรรม  เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า จากความไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืดสนิท แล้วก็เริ่มมีทางที่มีแสงสว่าง  ถึงแม้ว่าจะเป็นทางที่มีแสงสว่างรำไร ไปจนกระทั่งถึงทางที่มีแสงสว่าง ที่จะนำไปสู่ความรู้ตามความเป็นจริงหรือไม่  ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่เกิดมาแล้วจะไม่ไปทางกุศลและทางอกุศลนั้นย่อมไม่มี  เพราะเหตุว่ามีการสะสมมาทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล

แต่แม้กุศลและอกุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจธรรม ก็ให้ผลเพียงชั่วคราว  แต่ก็ไม่สามารถที่จะ
นำไปสู่ทางที่สามารถดับกิเลสจริง ๆ  เพราะไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นกิเลส  ขณะไหนเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา  ด้วยเหตุนี้ในบรรดาธรรมทั้งปวง ที่เป็นสังขารธรรมและสังขตธรรม ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แล้วดับไป  ปัญญาประเสริฐสุดสามารถรู้ตามความเป็นจริง  เพราะว่าเป็นความเห็นถูกเข้าใจถูก

เมื่อทุกคนเห็นคุณค่าของพระธรรม จะไปทางไหน ก็เป็นการสะสมที่แต่ละคนเห็นประโยชน์ว่า ควรจะไปทางที่ทำให้เห็นถูก ทำให้เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ  แต่เป็นเรื่องละเอียดมาก ต้องไตร่ตรองต้องเป็นผู้ตรง จึงจะเห็นว่าการศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรมเป็นเรื่องละทั้งหมด  ละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กุศล  ความติดข้องในกุศลก็ยังเป็นอกุศลที่ติดข้อง  เพราะเหตุนี้สิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ทำให้ละ แต่ติดข้อง นั่นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพราะว่าอริยสัจธรรมที่สอง คือ สมุทยอริยสัจจะ คือละความติดข้อง เพราะไม่รู้ทุกขสัจจ์ซึ่งเป็นอริยสัจจ์ที่ ๑   ไม่รู้ว่าเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าดับไปและไม่รู้เลย

  ดังนั้น   ถ้าสามารถเข้าใจความจริงมั่นคง  ก็จะสามารถละคลายความติดข้อง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งธาตุ  และต้องเป็นความเข้าใจความจริงขณะนี้ว่ากำลังมีสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ก็จะค่อย ๆ  ละคลายความติดข้อง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งธาตุที่ไม่เกิดไม่ดับ  ซึ่งทุกคนก็เคยได้ยินนิพพานธาตุ  แต่ยังไม่มีความเข้าใจในธาตุนั้น  เพราะว่าสภาพธรรมนั้นจะไม่ปรากฏกับอวิชชา หรือว่ากุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา   ก็เป็นทางเลือกที่จะแสดงให้เห็นว่า  ต้องมีปัญญาจริง ๆ  ในแต่ละภพแต่ละชาติ จึงจะเลือกทางเดินได้ถูกต้องและศึกษาเพื่อให้เข้าใจ  ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง  ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาเพื่อละคลายกิเลสที่มีมากมายมหาศาล ไม่สามารถที่จะมีสิ่งอื่นใด  แต่สามารถที่จะค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ขัดเกลาได้   เมื่อได้เห็นคุณค่าของปัญญา ก็ค่อย ๆ  อบรมปัญญาขัดเกลากิเลส จนกว่ากิเลสจะหมดสิ้น

                               

                                                    ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์