Translate

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พิจารณากรรมในชีวิตประจำวัน



ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กรรมที่แต่ละท่านกำลังกระทำอยู่ในแต่ละวัน  เป็นชีวิตประจำวันจริง ๆ   เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะคิดถึงเรื่องกรรมที่จะทำ  คนส่วนมากมักจะนึกถึงกรรมที่จะทำ  บางท่านอาจจะคิดไว้เตรียมไว้ว่า ปีนี้หรือปีหน้าจะทำบุญกฐิน  เดือนหน้าจะถวายทาน  ถวายสังฆทาน หรืออาทิตย์หน้าจะทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี  จะพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกเป็นธรรมทาน  แต่กรรมที่ท่านกำลังกระทำอยู่ขณะนี้เดี๋ยวนี้  ควรที่จะได้พิจารณาว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม  แทนที่จะได้พิจารณากรรมขณะนี้เดี๋ยวนี้  เป็นกุศลกรรมหรือเปล่า  ธรรมะคือขณะนี้เดี๋ยวนี้เอง  ควรที่จะต้องพิจารณาเรื่องของจิตและเรื่องของเจตสิกทั้งหมด

เรื่องของธรรมะทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง  ไม่พ้นไปจากเรื่องขณะนี้ทั้งหมด  เพียงแต่จะเกื้อกูลให้ท่านผู้ศึกษาธรรมะให้เป็นผู้ละเอียด ที่สติจะระลึกและเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม  ที่ได้ศึกษาตรงตามความเป็นจริงหรือไม่   เพื่อที่จะให้ปัญญาเจริญขึ้นจริง ๆ  เพื่อที่จะเกื้อกูลให้สติเกิด จนกระทั่งเป็นจิตนานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง   เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง  กายานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง  ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง  โดยอาศัยความเข้าใจพระธรรม  ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะสภาพธรรมแต่ละขณะจิตที่กำลังเกิดกับทุกท่านตามปรกติตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น  ขอให้พิจารณาว่า  ขณะนี้เป็นกุศลหรือเปล่า ?  เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ ?
ขณะนี้เดี๋ยวนี้ถ้าสติเกิด  เป็นมหากุศล ระลึกลักษณะสภาพธรรมะที่ปรากฏ  พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง  ปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏหรือยัง ?

                 
                     
                              ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                             ..................................................

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คิดอกุศลทำให้เดือดร้อนใจ



ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์นั้น

ข้อความในสังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปังกธาสูตร ข้อ ๕๓๑  มีข้อความว่า

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเสด็จจากจาริกไปในโกศลชนบท  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่  เสด็จถึงนิคมแห่งชาวโกศลชื่อปังกธา ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุชื่อ กัสสปโคตร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ ปังกธานิคม ได้ยินว่า ณ ที่นั้น  พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขาบท

ครั้งนั้นแล  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขาบทอยู่  ภิกษุกัสสปโคตรได้เกิดความขัดใจ ไม่แช่มชื่นว่า  สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก

ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปังกธานิคมตามควรแก่พระอภิรมณ์แล้ว  เสด็จจาริกกลับไปทางพระนครราชคฤห์  เมื่อเสด็จจากไปโดยลำดับ  ได้เสด็จยังพระนครราชคฤห์  เมื่อเสด็จจาริกถึงพระนครราชคฤห์แล้ว  ประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์

ครั้งนั้นแล  ภิกษุกัสสปโคตร  เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปได้ไม่นาน  ได้เกิดความรำคาญ เดือดร้อนว่าเราผู้เกิดความขัดใจ  ไม่แช่มชื่นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก ในเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง  ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง  ด้วยธรรมิกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยสิกขา  ชื่อว่าเป็นอันหมดลาภ  ไม่มีลาภ ไม่ได้ดีแล้วหนอ  ถ้ากระไร เราควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ  แล้วพึงแสดงโทษโดยความเป็นโทษในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด

ลำดับนั้นแล  ภิกษุกัสสปโคตรเก็บงำเสนาสนะ  ถือบาตรและจีวร หลีกไปทางพระนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ  แล้วกราบทูลขอโทษพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงรับโทษของท่าน โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมระวังต่อไปเถิด

นี่ก็เป็นความวิจิตรของจิตจริง ๆ  ที่แสดงให้เห็นว่า  การคิดนึกของแต่ละคนบังคับบัญชาไม่ได้เลย  ถ้าสะสมอกุศลที่จะคิดในทางอกุศล  ก็ย่อมคิดในเรื่องอกุศลต่าง ๆ  เพราะฉะนั้น  ในสมัยนี้ ผ่านจากสมัยของพระผู้มีพระภาคมาเป็นเวลาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี  อกุศลที่สะสมไว้้ก็เพิ่มขึ้น  ถ้ายังไม่ได้ขัดเกลาด้วยการฟังพระธรรม และน้อมประพฤติปฏิบัติตามทุกประการ  ก็ย่อมจะมีเหตุที่จะให้เกิดกุกกุจจะ (ความขัดเคืองใจ)  ได้บ่อย ๆ  เนือง ๆ  เพราะฉะนั้น  จึงควรที่จะได้พิจารณาว่า  กุกกุจจะของแต่ละท่านที่เกิดขึ้นนั้น  เกิดขึ้นเพราะอะไร  อีกประการหนึ่งก็คือ  โทสะและกุกกุจจะเกิดจากความไม่รู้  ความไม่เข้าใจ ซึ่งรวมถึงความไม่รู้ และความไม่เข้าใจบุคคลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วย

ทุกคนมีเหตุผล แต่ถ้าไม่พิจารณาถึงเหตุผลของคนอื่น  เอาแต่ตัวเองเป็นเครื่องวัด ก็ย่อมจะเกิดความคิดว่า  ทำไมคนนั้นไม่ทำอย่างนี้  ทำไมคนนี้ไม่ทำอย่างนั้น   หรือว่าควรจะทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น ก้ทำให้เกิดกุกกุจจะได้  ถ้าเป็นผู้ที่พยายามเข้าใจคนอื่น  แล้วก็มีความเห็นใจและให้อภัยผู้อื่น  จะเป็นผู้ที่มีความอดทนที่จะไม่แสดงกาย วาจา ให้คนอื่นเดือดร้อน  ขณะใดที่แสดงกาย วาจา กระทบกระเทือนให้คนอื่นเดือดร้อน  ตนเองย่อมเดือดร้อนในภายหลัง

ที่มาของบทความ.....คัดลอกจากบ้านธัมมะ



               
                   ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
                                                         ...............................................