Translate

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมาธิสูตร



                                                   
 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
                                     
                                         พระสุตตันตปิฎก  สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓

                                                          ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา

                    (๒๗)  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
                    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ  ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง  ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร  ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป  ความเกิดและความดับแห่งเวทนา  ความเกิดและความดับแห่งสัญญา  ความเกิดและความดับแห่งสังขาร  ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ

                 (๒๘)  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป  อะไรเป็นความเกิดแห่งเวทนา  อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา  อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร   อะไรเป็นความเกิดแห่งวิญญาณ  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุคคลในโลกนี้  ย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่  ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร   ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  ความยินดีก็เกิดขึ้น  ความยินดีในรูป  นั้นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย  จึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้  บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ  ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ  ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง  ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ  เมื่อเพลิดเพลิน  พร่ำถึง  ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ  ความยินดีย่อมเกิดขึ้น  ความยินดีในวิญญาณ  นั่นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย นั่นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทว ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นี่เป็นความเกิดแห่งรูป  นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา  นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา  นี่เป็นความเกิดแห่งสังขาร  นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ

               (๒๙)  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป  อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา  อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา  อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร  อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมไม่เพลิดเพลิน  ย่อมไม่พร่ำถึง  ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่  ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน  ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  ความยินดีในรูปย่อมดับไป  เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป  อุปาทานจึงดับ  เพราะอุปาทานดับ  ภพจึงดับ ฯลฯ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้  ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำซึ่งเวทนา...   ซึ่งสัญญา...   ซึ่งสังขาร...   ซึ่งวิญญาณ   เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง  ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา...   ซึ่งสัญญา...   ซึ่งสังขาร...   ซึ่งวิญญาณ  ความยินดีในเวทนา...   ในสัญญา...    ในสังขาร...   ในวิญญาณ  ย่อมดับไป  เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป  อุปาทานจึงดับ  เพราะอุปาทานดับ  ภพจึงดับ ฯลฯ   ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นี้เป็นความดับแห่งรูป  นี้เป็นความดับแห่งเวทนา  นี้เป็นความดับแห่งสัญญา  นี้เป็นความดับแห่งสังขาร  นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ

                                                       
                                                                    จบ  สมาธิสูตรที่ ๕

                                                      ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                        ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์





วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลาภอันประเสริฐ



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกคนปรารถนาที่จะได้ลาภต่าง ๆ  คือ  ลาภทางตา ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่น่าพอใจ.... ทางหู ได้ยินเสียงที่ไพเราะ.....ทางจมูก ได้กลิ่นที่ดี......ทางลิ้น ได้ลิ้มรสที่อร่อย...... ทางกาย ได้กระทบสัมผัสที่สบายกาย ไม่มีทุกข์  มีแต่ความสุข  นอกจากนั้นชาวโลกยังปรารถนา "ยศ"  แต่ว่ายศจริง ๆ นั้นต้องหมายถึง "ความดี"  ถ้าไม่ใช่ความดีก็ไม่ใช่ยศที่แท้จริง ความไม่ดีเป็นเกียรติยศไม่ได้  การมียศมีตำแหน่งการงานซึ่งชาวโลกเข้าใจว่าเป็นเกียรติยศนั้น  ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติดีก็ไม่ใช่ยศที่แท้จริง  เพราะยศหรือเกียรติยศหมายถึง ความดี

ลาภอื่นทางโลกไม่ใช่ลาภอันประเสริฐ  เพราะเป็นลาภที่ประกอบด้วยโลภะ ความติดข้อง ต้องการ  ยินดีพอใจ  การที่จะได้ลาภอันประเสริฐนั้น  ก็คือขณะใดที่มีความเข้าใจพระธรรม  มีความเห็นถูก  ขณะนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ  เพราะฉะนั้น ท่านมีลาภอันประเสริฐแค่ไหน  ท่านฟังธรรมศึกษาธรรมเพื่อลาภอันประเสริฐหรือยัง ?

ฟังธรรมและศึกษาธรรมด้วยความศรัทธา เพื่อความเข้าใจ  ก็จะได้ลาภอันประเสริฐ  การศึกษาพระธรรมก็เพื่อที่จะได้รู้จักชีวิตว่า  เกิดมาเพื่ออะไร  ไม่ใช่เกิดมาเพื่อกิน นอน ติดข้อง นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน  แต่ที่จะได้รู้ความจริงว่า เกิดมาเพื่ออะไร  เพื่อให้รู้ความจริงของชีวิต  เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์  เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย

 เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีความเข้าใจว่า ศึกษาธรรมฟังธรรมเพื่ออะไร ?   ก็เพื่อรู้ตามความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  เพื่อความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อลาภอย่างอื่น แต่เพื่อลาภอันประเสริฐ  แต่จะรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่ที่การสะสมมาและมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

ความเห็นถูกและความเข้าใจถูกเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต  ถ้ายังไม่เข้าใจพระธรรมจะเรียกว่ามีลาภอันประเสริฐได้ไหม ?  ก็ยังไม่เรียกว่า "ลาภอันประเสริฐ"  เพราะฉะนั้น ฟังและศึกษาจนกว่าจะเข้าใจทีละน้อย  ฟังและเห็นประโยชน์ของการฟังเมื่อไร  เมื่อนั้นก็จะรู้ความหมายของคำว่า "ลาภอันประเสริฐ" ซึ่งเป็นลาภที่เหนือลาภใด ๆ ทั้งปวง

                                             
                                                  ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                     ..........................................

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทางเดินของผู้รู้



 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ทางเดินด้วยความไม่รู้  ก็ต่างกันกับทางเดินของผู้รู้ผู้เข้าใจสภาพธรรม  เพราะฉะนั้นผู้ไม่รู้ก็จมอยู่ในความมืด ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง  หรือมีสุขมีทุกข์ประการใด  แล้วก็ไม่สามารถที่จะเห็นทางที่นำไปสู่ความปลอดภัย คือทางที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง  ขณะนี้ผู้ไม่รู้ก็คือผู้ไม่ฟังพระธรรม  ผู้ที่ฟังพระธรรมเริ่มเข้าใจพระธรรม ก็เป็นผู้ที่รู้พระธรรม  เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า จากความไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืดสนิท แล้วก็เริ่มมีทางที่มีแสงสว่าง  ถึงแม้ว่าจะเป็นทางที่มีแสงสว่างรำไร ไปจนกระทั่งถึงทางที่มีแสงสว่าง ที่จะนำไปสู่ความรู้ตามความเป็นจริงหรือไม่  ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ที่เกิดมาแล้วจะไม่ไปทางกุศลและทางอกุศลนั้นย่อมไม่มี  เพราะเหตุว่ามีการสะสมมาทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล

แต่แม้กุศลและอกุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจธรรม ก็ให้ผลเพียงชั่วคราว  แต่ก็ไม่สามารถที่จะ
นำไปสู่ทางที่สามารถดับกิเลสจริง ๆ  เพราะไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นกิเลส  ขณะไหนเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา  ด้วยเหตุนี้ในบรรดาธรรมทั้งปวง ที่เป็นสังขารธรรมและสังขตธรรม ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แล้วดับไป  ปัญญาประเสริฐสุดสามารถรู้ตามความเป็นจริง  เพราะว่าเป็นความเห็นถูกเข้าใจถูก

เมื่อทุกคนเห็นคุณค่าของพระธรรม จะไปทางไหน ก็เป็นการสะสมที่แต่ละคนเห็นประโยชน์ว่า ควรจะไปทางที่ทำให้เห็นถูก ทำให้เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ  แต่เป็นเรื่องละเอียดมาก ต้องไตร่ตรองต้องเป็นผู้ตรง จึงจะเห็นว่าการศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรมเป็นเรื่องละทั้งหมด  ละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กุศล  ความติดข้องในกุศลก็ยังเป็นอกุศลที่ติดข้อง  เพราะเหตุนี้สิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ทำให้ละ แต่ติดข้อง นั่นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพราะว่าอริยสัจธรรมที่สอง คือ สมุทยอริยสัจจะ คือละความติดข้อง เพราะไม่รู้ทุกขสัจจ์ซึ่งเป็นอริยสัจจ์ที่ ๑   ไม่รู้ว่าเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าดับไปและไม่รู้เลย

  ดังนั้น   ถ้าสามารถเข้าใจความจริงมั่นคง  ก็จะสามารถละคลายความติดข้อง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งธาตุ  และต้องเป็นความเข้าใจความจริงขณะนี้ว่ากำลังมีสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ก็จะค่อย ๆ  ละคลายความติดข้อง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งธาตุที่ไม่เกิดไม่ดับ  ซึ่งทุกคนก็เคยได้ยินนิพพานธาตุ  แต่ยังไม่มีความเข้าใจในธาตุนั้น  เพราะว่าสภาพธรรมนั้นจะไม่ปรากฏกับอวิชชา หรือว่ากุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา   ก็เป็นทางเลือกที่จะแสดงให้เห็นว่า  ต้องมีปัญญาจริง ๆ  ในแต่ละภพแต่ละชาติ จึงจะเลือกทางเดินได้ถูกต้องและศึกษาเพื่อให้เข้าใจ  ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง  ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาเพื่อละคลายกิเลสที่มีมากมายมหาศาล ไม่สามารถที่จะมีสิ่งอื่นใด  แต่สามารถที่จะค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ ขัดเกลาได้   เมื่อได้เห็นคุณค่าของปัญญา ก็ค่อย ๆ  อบรมปัญญาขัดเกลากิเลส จนกว่ากิเลสจะหมดสิ้น

                               

                                                    ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์