Translate

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถอนตะปูตรึงใจ



                                                      ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เมื่อใดที่ยังมีความสงสัยและมีความหยาบกระด้างหรือขุ่นมัว  ไม่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้ ขณะนั้นก็เหมือนกับมีตะปูตรึงใจ  เมื่อได้ฟังพระธรรมก็มีความสงสัย ๆ  บ่อย ๆ ไม่พิจารณาอะไร ถ้าเป็นความสงสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เท่ากับว่ามีตะปูเล็ก ๆ  ตรึงใจ  ทำให้ขณะนั้นไม่สามารถเข้าใจธรรม  แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังได้พิจารณาธรรมมากขึ้น  ถึงแม้ว่าจะมีตะปูเล็ก ๆ ตรึงใจอยู่  ก็สามารถที่จะถอนหรือคลายได้  แต่ก็ต้องเป็นความเห็นถูกคือปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถที่จะละคลายได้

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าขณะใดมีธรรมที่หยาบกระด้างเปรียบเหมือนตะปูที่แข็ง  เกิดขึ้นแล้วก็ตรึงใจ  ทำให้ขณะนั้นไม่สามารถไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกได้  หรือไม่สามารถออกจากความสงสัยได้  แต่ก็ยังมีธรรมที่สามารถที่จะคลายความสงสัย คือ ปัญญา  ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่ได้สะสมความสงสัยและไม่ยอมที่จะศึกษาธรรมเลย  ขอแต่เพียงยังคงเก็บความสงสัยเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยไม่ฟังเหตุผลหรือไม่พิจารณาว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมยากที่จะรู้และหลากหลาย แต่ก็จะรู้ได้ด้วยปัญญาที่อบรมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นหนทางเดียว ที่ยังสงสัยก็เพราะเหตุว่ายังไม่ได้อบรมปัญญาให้เจริญเพิ่มขึ้น ถ้าได้อบรมปัญญาเพิ่มขึ้น ความสงสัยก็จะลดน้อยลง ตะปูที่ตรึงใจก็จะค่อย ๆ ถอนออกได้

เพราะฉะนั้นความสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม  ในพระสงฆ์  จากการศึกษา คือ รู้ว่าการที่ได้ฟังพระธรรมบ่อย ๆ  จะสามารถทำให้เข้าใจธรรมที่ได้ยินได้ฟัง  เพราะว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ก็เป็นเรื่องของธรรม เมื่อเข้าใจแล้วก็จะทำให้รู้หนทางที่จะทำให้หมดความสงสัย หมดตะปูตรึงใจได้  มิฉะนั้นจากความเป็นปุถุชนก็จะไปสู่พระอริยบุคคลไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่าธรรมเหล่านี้ แม้ว่าขณะที่เกิดเป็นตะปูตรึงใจ  แต่ถ้ามีปัญญาเมื่อไร  ก็จะค่อย ๆ  ถอนสิ่งที่เป็นตะปูตรึงใจได้  เพราะฉะนั้นทุกคนย่อมรู้ตนเองดี ว่ามีความสงสัยมากน้อยแค่ไหน หรือว่าตะปูตรึงใจได้คลายลงมากน้อยแค่ไหน

แต่ละท่านก็ศึกษาและฟังธรรมเพื่อความเข้าใจขึ้น  แต่ว่าเวลามีความหยาบกระด้างหรือโทสะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่ามีตะปูตรึงใจ  บางท่านฟังธรรมเข้าใจ  แต่ก็ยังเก็บความโกรธ  ยังจะผูกโกรธอีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามาถถอนตะปูออก  ก็เพราะเหตุว่า ยังไม่มีกำลังของปัญญาพอที่จะคลายหรือพอที่จะเห็นโทษของโทสะ  เพราะฉะนั้น  ต้องฟังธรรมสะสมปัญญาจนกว่าจะสามารถถอนตะปูตรึงใจได้


                                                    ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
                                           
                                                          ขออุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์


วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมาธิสูตร



                                                   
 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
                                     
                                         พระสุตตันตปิฎก  สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓

                                                          ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา

                    (๒๗)  ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
                    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ  ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง  ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร  ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป  ความเกิดและความดับแห่งเวทนา  ความเกิดและความดับแห่งสัญญา  ความเกิดและความดับแห่งสังขาร  ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ

                 (๒๘)  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป  อะไรเป็นความเกิดแห่งเวทนา  อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา  อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร   อะไรเป็นความเกิดแห่งวิญญาณ  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บุคคลในโลกนี้  ย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่  ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร   ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  ความยินดีก็เกิดขึ้น  ความยินดีในรูป  นั้นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย  จึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้  บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ  ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ  ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน  ย่อมพร่ำถึง  ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ  เมื่อเพลิดเพลิน  พร่ำถึง  ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ  ความยินดีย่อมเกิดขึ้น  ความยินดีในวิญญาณ  นั่นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย นั่นเป็นอุปาทาน  เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทว ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นี่เป็นความเกิดแห่งรูป  นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา  นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา  นี่เป็นความเกิดแห่งสังขาร  นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ

               (๒๙)  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป  อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา  อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา  อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร  อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมไม่เพลิดเพลิน  ย่อมไม่พร่ำถึง  ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่  ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน  ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป  ความยินดีในรูปย่อมดับไป  เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป  อุปาทานจึงดับ  เพราะอุปาทานดับ  ภพจึงดับ ฯลฯ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้  ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำซึ่งเวทนา...   ซึ่งสัญญา...   ซึ่งสังขาร...   ซึ่งวิญญาณ   เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง  ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา...   ซึ่งสัญญา...   ซึ่งสังขาร...   ซึ่งวิญญาณ  ความยินดีในเวทนา...   ในสัญญา...    ในสังขาร...   ในวิญญาณ  ย่อมดับไป  เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป  อุปาทานจึงดับ  เพราะอุปาทานดับ  ภพจึงดับ ฯลฯ   ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นี้เป็นความดับแห่งรูป  นี้เป็นความดับแห่งเวทนา  นี้เป็นความดับแห่งสัญญา  นี้เป็นความดับแห่งสังขาร  นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ

                                                       
                                                                    จบ  สมาธิสูตรที่ ๕

                                                      ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                        ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์





วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลาภอันประเสริฐ



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกคนปรารถนาที่จะได้ลาภต่าง ๆ  คือ  ลาภทางตา ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่น่าพอใจ.... ทางหู ได้ยินเสียงที่ไพเราะ.....ทางจมูก ได้กลิ่นที่ดี......ทางลิ้น ได้ลิ้มรสที่อร่อย...... ทางกาย ได้กระทบสัมผัสที่สบายกาย ไม่มีทุกข์  มีแต่ความสุข  นอกจากนั้นชาวโลกยังปรารถนา "ยศ"  แต่ว่ายศจริง ๆ นั้นต้องหมายถึง "ความดี"  ถ้าไม่ใช่ความดีก็ไม่ใช่ยศที่แท้จริง ความไม่ดีเป็นเกียรติยศไม่ได้  การมียศมีตำแหน่งการงานซึ่งชาวโลกเข้าใจว่าเป็นเกียรติยศนั้น  ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติดีก็ไม่ใช่ยศที่แท้จริง  เพราะยศหรือเกียรติยศหมายถึง ความดี

ลาภอื่นทางโลกไม่ใช่ลาภอันประเสริฐ  เพราะเป็นลาภที่ประกอบด้วยโลภะ ความติดข้อง ต้องการ  ยินดีพอใจ  การที่จะได้ลาภอันประเสริฐนั้น  ก็คือขณะใดที่มีความเข้าใจพระธรรม  มีความเห็นถูก  ขณะนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ  เพราะฉะนั้น ท่านมีลาภอันประเสริฐแค่ไหน  ท่านฟังธรรมศึกษาธรรมเพื่อลาภอันประเสริฐหรือยัง ?

ฟังธรรมและศึกษาธรรมด้วยความศรัทธา เพื่อความเข้าใจ  ก็จะได้ลาภอันประเสริฐ  การศึกษาพระธรรมก็เพื่อที่จะได้รู้จักชีวิตว่า  เกิดมาเพื่ออะไร  ไม่ใช่เกิดมาเพื่อกิน นอน ติดข้อง นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน  แต่ที่จะได้รู้ความจริงว่า เกิดมาเพื่ออะไร  เพื่อให้รู้ความจริงของชีวิต  เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์  เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย

 เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีความเข้าใจว่า ศึกษาธรรมฟังธรรมเพื่ออะไร ?   ก็เพื่อรู้ตามความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  เพื่อความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อลาภอย่างอื่น แต่เพื่อลาภอันประเสริฐ  แต่จะรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่ที่การสะสมมาและมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

ความเห็นถูกและความเข้าใจถูกเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต  ถ้ายังไม่เข้าใจพระธรรมจะเรียกว่ามีลาภอันประเสริฐได้ไหม ?  ก็ยังไม่เรียกว่า "ลาภอันประเสริฐ"  เพราะฉะนั้น ฟังและศึกษาจนกว่าจะเข้าใจทีละน้อย  ฟังและเห็นประโยชน์ของการฟังเมื่อไร  เมื่อนั้นก็จะรู้ความหมายของคำว่า "ลาภอันประเสริฐ" ซึ่งเป็นลาภที่เหนือลาภใด ๆ ทั้งปวง

                                             
                                                  ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                     ..........................................