Translate

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ทุกขณะเกิดเพราะเหตุปัจจัย


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

การเจริญสติปัฏฐานจะระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม  ไม่ใช่ชื่อของสภาพธรรม  อย่างเช่น การพิจารณากาย หรือการพิจารณาผม  การนึกถึงกายหรือนึกถึงผม เป็นการเรียกชื่อ  นึกถึงเป็นนามธรรม ไม่ใช่เรานึก
ไม่มีลักษณะปรากฏที่เป็นกายหรือเป็นผมให้รู้  เพียงแต่คิด

การอบรมเจริญปัญญาสามารถจะรู้ความจริงของนามธรรมและรูปธรรม วิปัสสนาญาณแรกคือ นามรูป
ปริจเฉทญาณ หรือจะใช้คำว่า สังขารปริจเฉทญาณ ก็ได้ เพราะสังขารมีทั้งนามธรรมและรูปธรรม

ปัญญาสามารถประจักษ์ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม  ไม่มีบัญญัติ  นามรูปปริจเฉทญาณเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม โดยประจักษ์ความเป็นธรรม  ขณะที่กำลังคิด สภาพคิดมีจริง  แต่คิดไม่ใช่เรา

 เพราะฉะนั้นต้องรู้ตามความจริงว่า คิดไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่ถ้าไม่รู้ ก็เป็นเราไปโดยตลอด แล้วเมื่อไรจะเข้าใจ เมื่อไรจะค่อย ๆ อบรมความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เห็นจริง ๆ ว่า  ใครก็ไม่สามารถบังคับบัญชาได้  คิดก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย  เห็นก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย  ทุกขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย


                          ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                                  ...........................................

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ความสุขที่แท้จริงคืออะไร




ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกคนต้องการความสุขที่แท้จริง  เพราะเหตุว่าความสุขในแต่ละวันมีอยู่เพียงเล็กน้อย  เป็นความสุขที่ชั่วคราวแต่ละขณะก็หมดไปแล้ว  เห็นสิ่งที่พอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  เพียงเล็กน้อยก็หมดไปแล้ว  เช่น  เห็นดอกไม้สวย ๆ  ก็มีความสุข  เพียงขณะเดียวก็หมดไปแล้ว  เห็นอาหารวางอยู่บนโต๊ะ  ก็มีความสุขที่จะได้รับประทาน และความสุขเล็กน้อยที่จะได้รับประทานก็หมดไป  แต่ก็ยังไม่รู้ว่า  ยังมีความสุขที่มากกว่านั้นอีก  แต่ว่ายังไม่เกิด

 เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน  ก็จะเห็นได้ว่า มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ชั่วขณะซึ่งสั้นมาก  แล้วก็ดับไป  นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  เพราะเหตุว่าเป็นความสุขที่ชั่วคราว  ที่ปรากฏแล้วก็หมดไป   ยังมีความสุขยิ่งกว่านี้  ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง  แต่ก็ยังไม่รู้ว่า  ความสุขแท้จริงนั้นคืออะไร  ก็ไม่สามารถจะพบความสุขนั้นได้  ต้องรู้จักสิ่งที่มีจริง ๆ จึงจะรู้ว่าที่ชื่อว่า ความสุขแท้จริงนั้นคืออะไร  เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเต็มไปด้วยความหวัง  แต่ว่าความหวังจะเป็นจริงหรือว่าจะสมหวัง  ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร  อย่างเช่น  ตักอาหารมาแล้วเปรี้ยวไป  หวังว่าอาหารจะอร่อย แต่รสเปลี่ยนไป  ไม่ใช่ความสุขเลย  เพราะว่าไม่สมหวัง  ความสุขก็หมดไปเพราะเหตุว่าไม่สมหวัง

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า  สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ  ถ้าได้เข้าใจความจริงว่า   ความสุขจริง ๆ  ต้องเป็นสุขที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี  เพราะว่าสิ่งนั้นกำลังมี  สิ่งอื่นไม่มี เช่น ในขณะได้ยินเสียง  เสียงมีปรากฏเดี๋ยวนี้  เสียงมีจริง ๆ  ปรากฏว่ามีชั่วคราวแล้วก็ดับไป  ในขณะมีเสียง  อย่างอื่นไม่มีปรากฏเลย  แต่ก็ยังมีความหวังอย่างอื่น ไม่สิ้นสุดความหวังเลยสักอย่างเดียว  ไม่ว่าอะไรจะกระทบทางตา หู  จมูก  ลิ้น กาย  ทางใจก็คิดถึงแต่สิ่งนั้นด้วยความหวัง  แต่ไม่เคยเห็นความหวัง และความหวังก็ไม่มีจบไม่มีสิ้นสุดเลย แล้วแต่ว่าจะหวังเรื่องอะไร

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงอย่างแน่นอน  เพราะเหตุว่าเพียงหวังแล้วได้  แล้วก็หวังต่อไปอีก  จึงหวังอีกแล้วก็ได้อีก จะมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้จักพอ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจความจริงว่าขณะนั้นเป็นอะไร  ไม่มีสิ่งอื่นเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏแต่ละทาง  ทางตาที่กำลังเห็น ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น  มีเพียงสิ่งที่เกิดให้เห็นกับเห็นเท่านั้นเอง  แล้วก็ดับไป  ในขณะที่เสียงปรากฏ  มีเสียงที่ปรากฏกับได้ยินที่ปรากฏ  แล้วก็ดับไป  แต่หวังอะไรจากสิ่งที่เพียงปรากฏ  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา  อย่างนี้จะเป็นความสุขที่แท้จริงได้มั้ย  ไม่มีการที่จะจบสิ้นความหวัง  ยิ่งหวังมากยิ่งเป็นทุกข์เพราะว่ามีความติดข้องด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ หลงเข้าใจว่า  สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ยั่งยืน ไม่เกิดไม่ดับ  เพราะไม่รู้ความจริงว่า แต่ละขณะจิต  จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ชีวิตก็เป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่จิตเกิดขึ้น

ถ้าจิตนั้นดับแล้วไม่เกิดขึ้นอีก ไม่มีจิตอีกเลย ก็ไม่มีการที่จะเป็นเราหรือเป็นบุคคลอื่น  การรู้ความจริงเช่นนี้ดีมั้ย...... ข้อสำคัญที่สุด  การรู้ความจริง   แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริง  เพียงแต่กำลังสะสมความเห็นถูก  ความเห็นจริง ๆ  ในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละขณะ  ความจริงความเห็นถูก คือ อย่างไรและความไม่รู้เป็นอย่างไร  เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย  ก็จะไม่รู้ ก็จะแสวงหาความสุขด้วยความหวัง  แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าหวังอะไร   ในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป  ทุกอย่างที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้เป็นอย่างนี้  เพราะฉะนั้นบางคนอาจจะบอกว่า ความสุขที่แท้จริงคือนิพพาน  ไกลมั้ยคะ  คืออะไรก็ไม่รู้.....ไม่รู้ว้าขณะนี้มีอะไรกำลังปรากฏ  แล้วจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้อย่างไร  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพานคือความสุข

นอกจากนั้นก็จะต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง  ที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรา  ไม่มีสิ่งใดที่ยั่งยืน ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง  แต่ไม่ยั่งยืน คิดดูเถิดว่าทุกสิ่งเมื่อแตกแยกย่อยออกไปแล้ว ก็เป็นธรรมะหนึ่ง  เป็นสิ่งที่มีจริงที่หลากหลายต่างกันมาก  ตาก็ไม่ใช่หู  ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่คิด  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ละอย่าง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว  ก็ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า  เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน  เพราะไม่รู้ความจริง

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความสุขที่แท้จริง  ด้วยปัญญาที่สามารถจะเห็นความจริงว่า  ความสุขที่แท้จริงนั้น เมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ  จนสามารถประจักษ์แจ้งแล้วรู้ว่า  สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป  สุขมั้ย....เพียงเกิดปรากฏว่ามี  สั้นมากชั่วคราวจริง ๆ   แล้วก็ดับไป  สุขจริง ๆ หรือไม่ ?   จะเป็นสุขจริง ๆ ไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น  ความสุขที่แท้จริง  ก็จะต้องเริ่มจากความเห็นถูกเข้าใจถูกที่ทำให้ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง


                              ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์







วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เหตุให้เกิดความเห็นผิด



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกคนมีชีวิตปรกติในวันหนึ่ง ๆ  ตรึกไปในกามวิตก  พยาบาทวิตก  วิหิงสาวิตก  ถ้าไม่เป็นผู้พิจารณาธรรมตรง คือ กุศลเป็นกุศล  อกุศลเป็นอกุศล ก็จะโน้มเอียงไปในทางเห็นผิดได้  ความเห็นผิดในชีวิตประจำวัน  ตัวอย่าง เช่น  เมื่อเห็นผู้อื่นได้รับผลของอกุศลกรรม  แล้วเกิดความความพอใจ หรือกล่าวคำว่า "สมน้ำหน้า"  ขณะนั้นให้ทราบว่าจิตเป็นอย่างไร  เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล  ถ้าไม่พิจารณาในเหตุในผล  หมายถึงเหตุผลที่ควรจะพิจารณาก็คือว่า  ควรไหมที่จะสมน้ำหน้า หรือควรไหมที่จะเมตตา  เพียงแค่นี้ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิดหรือความเห็นถูกที่จะโน้มเอียงไป

การที่จะโน้มเอียงไปในทางเห็นผิดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับจิตของผู้พูดขณะนั้นว่า  เขาพูดด้วยกำลังของโทสะ หรือว่าพูดด้วยกำลังของโลภะ (ความพอใจ) ที่ผู้อื่นได้รับโทษจากอกุศลกรรมของเขา  หรือว่าเขามีความเห็นที่โน้มเอียงไปว่า สมควรที่ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ที่จะกล่าวโทษ สมน้ำหน้า หรือรังเกียจ ไม่เป็นมิตร

นี่ก็เป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่ควรพิจารณา  ซึ่งจะเป็นทางที่จะรู้ได้ว่าภายหน้าต่อไป  เราจะเป็นผู้มีความเห็นผิดหรือมีความเห็นถูก  ถ้าไม่เข้าใจเหตุผลจริง ๆ  ก็จะโน้มเอียงไปในทางมิฉาทิฏฐิสักวันหนึ่งได้  การที่ผู้ใดผู้หนึ่งได้กระทำผิดแล้วได้รับผลของกรรมนั้น  ควรที่เราจะสมน้ำหน้าเขาหรือว่าควรจะมีความเมตตากรุณา  ถ้าเราไม่เป็นผู้พิจารณาธรรมให้ตรงตามเหตุและผลจริง ๆ  ก็จะเป็นผู้มีความเห็นผิดได้แน่นอน


                                                    ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

                                                       ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์