Translate

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มงคลกิริยา





มงคลกิริยา  หมายถึง  การแสดงกิริยาต่าง ๆ  เช่น  การรคำนับ  การไหว้  การต้อนรับ  การแสดงมารยาทที่สมควรต่อผู้อื่น บางท่านอาจจะคิดว่า  การแสดงมงคลกิริยาและการแสดงมารยาท ไม่มีผล  แต่ถ้าพิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่า  การแสดงกิริยาต่าง ๆ ทางกายและทางวาจานั้น มีทั้งที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศล

การแสดงการต้อนรับ การคำนับใคร หรือการแสดงมารยาทอันดีงามต่าง ๆ ก็ตาม  ถ้าแสดงด้วยใจจริง จิตขณะนั้นเป็นกุศลจิต  แต่ถ้าการแสดงการต้อนรับหรือคำนับด้วยความไม่จริงใจ หรือไม่แสดงการต้อนรับ หรือไม่มีมงคลกิริยา  ในขณะนั้นก็จะส่องไปถึงสภาพจิตขณะนั้นว่า เป็นลักษณะจิตที่หยาบกระด้าง ขาดความเมตตา เป็นอกุศลจิตในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นมงคลกิริยา คือ การต้อนรับ การคำนับ หรือการไหว้ของบุคคลทั้งหลายในชีวิตประจำวันในสังคมซึ่งมีการแสดงต่อกัน  ก็รู้ว่ามงคลกิริยาทั้งหลายเหล่านั้นมี  และเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลด้วย
เพราะเหตุว่า กุศลจิตและอกุศลจิตเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล  โดยเฉพาะขึ้นอยู่ที่เจตนา (ความตั้งใจ) ที่เป็นกุศลหรือที่เป็นอกุศล  ถ้าเป็นความตั้งใจที่เป็นอกุศล ก็เป็นกรรมที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบาก  ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นความตั้งใจที่เป็นกุศล  ก็เป็นกรรมที่จะทำให้เกิดกุศลวิบาก


                                                        ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                               
                                                                 ...................................

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อารมณ์โคจร

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

                                                                 สรุปโดยย่อ
                                           
                                              สกุณัคฆีสูตร  (ว่าด้วยอารมณ์โคจร)

จาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้า ๓๘๖

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แก่ภิกษุทั้งหลาย  โดยยกเรื่องที่เคยเกิดในอดีต ว่า นกมูลไถได้ถูกเหยี่ยวจับไป  เพราะเที่ยวไปในถิ่นของผู้อื่น  อันไม่ใช่ถิ่นหากินของตน ด้วยคิดว่า  จักลองหาอาหารในถิ่นอื่นบ้าง  ขณะที่นกมูลไถกำลังหาอาหารอยู่  เหยี่ยวได้โฉบจับเอามันไป  เมื่อถูกเหยี่ยวจับได้  มันก็เสียใจ  จึงคร่ำครวญว่า เราเคราะห์ร้ายมาก  มีบุญน้อย  เราถูกเหยี่ยวจับได้  ก็เพราะว่าเที่ยวไปในถิ่นอื่น อันเป็นที่อโคจร   ถ้าอยู่ในถิ่นของตน ก็ยังสามารถที่จะต่อสู้กับเหยี่ยวได้  เหยี่ยวได้ฟังดังนั้น  จึงถามถึงถิ่นของนกมูลไถว่าอยู่ที่ใด  นกมูลไถตอบว่า  อยู่ที่ก้อนดินคันไถ  เหยี่ยวหยิ่งและอวดว่าตนมีกำลังมาก  จึงได้ปล่อยนกมูลไถไป  โดยพูดว่า "ไปเถิดเจ้านกมูลไถ  แม้เจ้าจะอยู่ที่ใดก็คงไม่พ้นเราดอก"   เมื่อนกมูลไถเป็นอิสระ ก็รีบบินไปยังที่ที่มีดินก้อนใหญ่   แล้วขึ้นไปยืนท้าเหยี่ยว  "แน่ะเหยี่ยว  จงมาจับเราเดี๋ยวนี้เถิด"  นกมูลไถท้าทายเหยี่ยว พูดซ้ำ ๆ  เรียกให้มาจับตน  ครั้นเหยี่ยวเมื่อเห็นนกมูลไถท้า ก็อวดกำลังของตน  จึงได้ลู่ปีกทั้ง ๒ โฉบนกมูลไถโดยเร็ว  ครั้นนกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวโฉบลงมาด้วยกำลังแรง  จึงรีบหลบเข้าซอกดินโดยเร็ว  เหยี่ยวไม่อาจยั้งความเร็วของตนได้  อกกระแทบกับก้อนดินอย่างแรง  เหยี่ยวอกแตกตาถลนตายทันที  ณ ที่นั้นเอง

นี้คือ เรื่องนกมูลไถเที่ยวไปในถิ่นอื่น ซึ่่งไม่ใช่ถิ่นหากินของตน  ย่อมประสบกับภยันตรายได้เช่นนี้

เพราะฉะนั้น  ภิกษุทั้งหลาย  จึงไม่ควรเที่ยวไปในอารมณ์ อันมิใช่โคจร (ไม่ควรเที่ยวไป)  คือ กามคุณ ๕  ซึ่งได้แก่  รูปที่สามารถรู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก  ชวนให้เกิดความกำหนัด...เสียงที่สามารถรู้ได้ด้วยโสต...กลิ่นที่สามารถรู้ได้ด้วยฆานะ.... รสที่สามารถรู้ได้ด้วยชิวหา.... โผฏฐัพพะที่สามารถรู้ได้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชวนให้เกิดความใคร่  ชวนให้เกิดความกำหนัด  เหล่านี้คืออารมณ์ที่มิใช่อารมณ์โคจรของภิกษุ  เพราะว่า เมื่อเที่ยวไปในอารมณ์เหล่านี้  มาร คือ กิเลส  ย่อมได้โอกาสที่จะครอบงำและทำอันตรายต่าง ๆ ได้  เพราะเหตุว่าในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต

ส่วนอารมณ์อันเป็นโคจร  เป็นอารมณ์ที่ควรเที่ยวไป  คือ สติปัฏฐาน ๔ ... สติปัฏฐาน  คือ ระลึกรู้กาย  ระลึกรู้เวทนา  ระลึกรู้จิต  ระลึกรู้ธรรม......เพียรระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้  ตามความเป็นจริง  ระลึกอยู่เนื่อง ๆ บ่อย ๆ  จนเกิดปัญญาสามารถกำจัดความยินดี  พอใจ  ความกำหนัดและความไม่พอใจ  ความขัดข้อง  ขุ่นเคืองใจ  ในโลกเสียได้ (โลก...ในที่นี้หมายถึง  ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)   นี้คือ อารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน  (บิดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) อันเป็นทางเที่ยวไป (โคจร)
เพราะเหตุว่า เมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔   มาร คือ กิเลส ย่อมครอบงำจิตไม่ได้

                                         
                                                         
                                                            ขออุทิศกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                             ........................................

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ธรรมะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอย่างไร


 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บางท่านอาจจะเข้าใจว่า "ธรรมมะ"  แยกออกจากชีวิตประจำวัน  แต่ถ้าเข้าใจแล้ว  จะรู้ได้ว่า "ธรรมะ" ก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ ความยินดีพอใจ.....ทรงแสดงเรื่องโทสะ  ความขุ่นใจ  ความหยาบกระด้าง  ความไม่พอใจ......ทรงแสดงเรื่องความเมตตา  ความกรุณา  มุทิตา  อุเบกขา.....ทรงแสดงเรื่องขันติ  เรื่องวิริยะ....ทรงแสดงเรื่องเกี่ยวกับตา  หู จมูก  ลิ้น กายและใจ  เรื่องการเห็น  การได้ยิน  การได้กลิ่น  การลิ้มรส  การกระทบสัมผัสทางกาย   เรื่องเกี่ยวกับคิดนึก  เรื่องความสุข  เรื่องความทุกข์

 พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมด  เป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน  นอกจากนั้นยังทรงตรัสว่า  ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมะทั้งหมด  เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว  ก็จะไม่บอกว่า  "ธรรมะแยกออกจากชีวิตประจำวัน"  เพราะเห็นว่า  ขณะนี้ก็เป็นธรรมะ  กำลังเห็น  กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส
กำลังกระทบสัมผัสทางกาย หรือกำลังคิดนึก  เราอาจจะเข้าใจว่า  เป็นเรา เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งของ  แต่ตามความจริงแล้ว  เป็นเพียงสภาพธรรมะชนิดหนึ่งที่มีจริง

อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่มีจริง  เราจะไม่เรียกชื่อสิ่งนั้นก็ได้  หรือเรียกภาษาอื่นก็ได้  เช่น  เห็นมีจริง  จะไม่เรียกว่า "เห็น" ก็ได้  จะใช้ภาษาอื่นเรียกก็ได้  แต่ "เห็น"  ก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง  และสภาพธรรมที่มีจริงนี้  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "สัจจธรรม"  คือ  เป็นธรรมะที่เป็นของแท้  ที่สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะ....พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องความละเอียดของธรรมะทุกอย่าง  ไม่เว้นเลย  เพราะฉะนั้น  จะทราบได้ว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ  ที่ทุกคนเคยเข้าใจผิด ๆ  และเคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งของต่าง ๆ   เพื่อให้เราเข้าใจอย่างถูกต้อง  จนกระทั่งความเข้าใจนั้นค่อย ๆ  เพิ่มขึ้น  เข้าใจตัวเราและเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา  เป็นปัญญาแต่ละขั้นซึ่งเพิ่มขึ้นนั่นเอง

 แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย   เราก็อาจจะคิดว่า  ตัวเองดี  หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า  รู้จักคนอื่นดี  คนนั้นนิสัยไม่ดี เป็นคนเห็นแก่ตัว  คนนี้เป็นคนดีมีนิสัยจิตใจดี  หรืออาจจะบอกว่า  รู้จักคนอื่นดี  แต่รู้จักตัวเองพอสมควร......แต่ถ้าเราได้ศึกษาพระธรรมจนเข้าใจดีแล้ว  เราจะรู้ว่า  สิ่งที่เราเคยคิดว่า  เราเข้าใจดีแล้วนั้น  ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด  เพราะเหตุว่าไม่ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้.


                                                   
                                                         ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                                ....................................